- พอเขามีอายุแก่ลง เขาจะป่วยในอนาคตแน่นอน ค่าใช้จ่ายสูงๆ เราจะพร้อมดูแลเขามั้ย
- วัคซีน ทำหมัน (ควรทำอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้สัตว์เราไปผสมกับสัตว์จรจัดสร้างปัญหาสัตว์จรจัดต่อสังคม ลดนิสัยซนดุปั่นป่วนของสัตว์ลง และการทำหมันก็มีผลดีต่อสุขภาพสัตว์ในระยะยาวด้วย)
- เห็บหมัด? ค่ารักษาสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่หนักหนากว่าค่ารักษาคนมาก สัตว์ที่เราซื้อมาเลี้ยงเราไม่รู้หรอกครับว่าเค้าจะป่วยเมื่อไหร่และเรามีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อชีวิตเขาไปทั้งชีวิตอายุขัยของเขา เราพร้อมมั้ย?
- เพื่อนบ้าน ครอบครัว เจ้าของอาคารบ้านเช่าที่เราอยู่ เห็นด้วยมั้ย จะมีปัญหามั้ยหากเรามีสัตว์เลี้ยง หลายคนต้องมาทะเลาะกับเพื่อนบ้านจนตัดสินใจทิ้งสัตว์เลี้ยงอย่างไร้ความรับผิดชอบภายหลัง คุณพร้อมจะเคารพสิทธิของครอบครัวคุณเพื่อนบ้านคุณที่เขาไม่รักหมาแมวมั้ย? หากอยู่คอนโด หากชีวิตยังไม่มั่นคง ต้องย้ายที่อยู่เรื่อยๆ ยังไม่ควรซื้อสัตว์เลี้ยง
- สุนัขสายพันธ์นั้นส่วนใหญ่ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษมาก มีเรื่องยุ่งยากในการดูแลมาก
- พร้อมทุ่มเทเวลาให้เค้ามั้ย?
- ศึกษาหาความรู้วิธีการดูแลหรือยัง? หลายคนเป็นคนมีอันจะกิน มีเงินซื้อสัตว์เลี้ยงแพงๆได้ แต่พอต้องเจอภาระการดูแลที่ยุ่งยากและใช้เวลามากมายก็เบื่อ ทอดทิ้งสัตว์ภายหลังมาเป็นภาระสังคม
- ต่อไปหากเขาดื้อ มีนิสัยที่ไม่พึงประสงค์ เราพร้อมจะรับได้มั้ย พร้อมจะหาทางแก้ไขมั้ย?
- ทำลายข้าวของ
- เห่าเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้าน รบกวนเรานอน
- ดุ กัดเรา กัดคนอื่นๆ
- แก่ไม่น่ารักแล้ว
- ขี้เยี่ยวเรี่ยราดไม่เป็นที่
- ขุดรู
- กัดรองเท้าคู่โปรด
- แทะมือถือ
- ฯลฯ
- คุณสามารถให้ความเป็นอยู่ที่ดี ให้สวัสดิภาพที่ดีต่อเขาได้หรือเปล่า?
- มีที่มีเวลาพาจูงเขาออกไปวิ่งออกกำลังกาย?
- ถ้าหากต้องขัง ก็ขังเฉพาะเวลาไม่ใช่ขังตลอดเวลา
- หากเป็นหมาพันธ์ขนาดใหญ่ คุณต้องมีเวลาที่จะพาเขาไปฝึกวินัย เพื่อให้คุณสามารถควบคุมเขาได้
- คุณต้องแข็งแรงพอและมีความรู้พอที่จะควบคุมเขาได้ ไม่เช่นนั้นก็อาจตกเป็นข่าวหมาดุกัดคนสัตว์อื่นตายเพราะความประมาท ไม่มีความสามารถควบคุมหมาตนเองได้ของเจ้าของ
- หากหมาเราไปกัดใคร ทำลายทรัพย์สิน หรือสัตว์ตัวอื่น เจ้าของมีความผิดและต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย
- หลายๆ คนทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงหลังจากคลอดมีบุตร ซึ่งเป็นเรื่องไร้ความรับผิดชอบและเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะอ้างว่าขนสัตว์จะทำให้เด็กเป็นภูมิแพ้ แต่ความจริงนั้นมีการวิจัยว่าเด็กที่เลี้ยงโตขึ้นมากับสัตว์เลี้ยงจะมีภูมิต้านทานที่แข็งแรงกว่าไม่มีสัตว์เลี้ยงอีก
- การที่เด็กเติบโตขึ้นมากับสัตว์เลี้ยงยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ นิสัยให้เป็นคนดี เมตตาต่อสัตว์อีกด้วย
- หลายคนอ้างว่าพอมีลูกแล้วไม่มีเวลาดูแลสัตว์เลี้ยงที่เขาอยู่กับคุณมาทั้งชีวิต ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไร้ความรับผิดชอบอย่างมาก ก่อนตัดสินใจเลี้ยงสัตว์เลี้ยงคุณต้องคิดให้รอบคอบถึงเรื่องนี้ด้วย และความจริงก็มีพ่อแม่หลายคนที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงพร้อมกับเลี้ยงลูกได้อย่างสมบูรณ์มีความสุจ
- การทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงนั้น เป็นการทำลายชีวิตสัตว์ตัวนั้น เป็นบาปกรรมที่จะติดตามตัวคุณ เป็นการผลักภาระมาให้สังคม สร้างปัญหาหมาแมวจรจัดไม่รู้จักจบจักสิ้น และตอนนี้การทอดทิ้งสัตว์เลี้ยงก็ผิดกฎหมาย พรบ.คุ้มครองสัตว์แล้วด้วย
- อย่าพรากลูกหมาอายุต่ำกว่า 8 สัปดาห์มาเลี้ยง เขายังต้องการนมและการดูแลจากแม่เขาอยู่ครับ ช่วยกันแชร์เผยแพร่ความรู้นะครับ
คลังความรู้ (ส่วนตัว)
บล็อกไม่มีคนอ่านของนักเขียนโนเนม
Friday, July 07, 2017
คิดสักนิดก่อนหาสัตว์มาเลี้ยง
Thursday, November 12, 2015
วิธีกรวดน้ำ
Friday, September 25, 2015
ปิดทององค์พระ
- ปิดทองบริเวณพระเศียร (ศีรษะ) - มีสติปัญญาแหลมคม มีความจำดี การเรียนดีเป็นเลิศ
- ปิดทองบริเวณพระพักตร์ (ใบหน้า) - จะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตก้าวหน้าในเรื่องการงาน
- ปิดทองบริเวณพระอุระ (หน้าอก) - ส่งผลให้เกิดสง่าราศี เชื่อว่าจะมีผู้คนชื่นชอบ เป็นที่รักใคร่ของผู้คน
- ปิดทองบริเวณพระอุทร (ท้อง) - จะส่งผลให้ร่ำรวย มีกินมีใช้ พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง
- การปิดทองบริเวณพระนาภี (สะดือ) - มีความเชื่อว่าผู้นั้นจะไม่เจอกับความอดอยาก
- ปิดทองบริเวณพระหัตถ์ (มือ) - เป็นการเสริมบารมี จะเป็นที่น่ายกย่อง ผู้คนเคารพยำเกรง
- ปิดทองบริเวณพระบาท (เท้า) - ส่งผลให้มีความเป็นอยู่ที่ดี มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยที่พักอาศัย และยานพาหนะ
- ปิดทองบริเวณฐานรองพระองค์ - มีความเชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมเรื่องเกี่ยวกับการมีอาชีพหรือหน้าที่การงานให้มั่นคง
Sunday, August 23, 2015
หน้าที่ในกองถ่าย
ไม่ได้เรียนสายนี้ แต่อยากได้ข้อมูลคร่าวๆ ไว้ใส่เครดิตงาน จะได้ใส่ถูกงาน เป็นข้อมูลที่รวมๆ มาจากเว็บบอร์ดนะ ^ ^
...Executive Producer = บางครั้งก็เรียกว่าผู้ควบคุมงานสร้างแหละค่ะ แต่จะเป็นโปรดิวเซอร์ในด้านเงินทุน จะเหนือกว่า Producer ค่ะ ก็ประมาณว่าเป็นคนให้ตังค์ทำหนังนั่นเอง
...Producer = เรียกว่า ผู้ควบคุมงานสร้าง เหมือนกัน ก็เป็นเหมือนตัวกลางระหว่างผู้กำกับกับนายทุนอะค่ะ คอยดูแลควบคุมการถ่ายทำให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย คุยกับนายทุนให้เข้าใจสิ่งที่ทางกองถ่ายจำเป็นต้องใช้ ต้องมี แต่ก็ต้องคอยควบคุมดูแลไม่ให้ผู้กำกับออกนอกลู่นอกทาง หรือว่าใช้งบประมาณมากจนเกินไป บางครั้งโปรดิวเซอร์ก็ต้องลงไปดูแลถึงในกองถ่ายด้วยค่ะ เรียกว่าควบคุมผู้กำกับอีกที แต่ต้องให้อิสระผู้กำกับในแง่ของความคิดสร้างสรรค์นะคะ ไม่ไปจำกัดหรือทำให้ผู้กำกับทำงานลำบากมากขึ้น
...Director = ก็คือ ผู้กำกับภาพยนตร์นั่นแหละค่ะ เป็นผู้กำกับควบคุมทิศทางของกองถ่ายทั้งหมด ทั้งในแง่ของการแสดง และงานเบื้องหลังอื่น ๆ หน้าที่หลักของผู้กำกับก็คือคิดเพื่อเล่าเรื่องค่ะ และต้องรับรู้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกองถ่ายเพื่อคอยแก้ไขด้วย ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญที่ผู้ช่วยฯ ตัดสินใจเองไม่ได้ ผู้กำกับจะเป็นคนที่ตัดสินใจ ชี้ขาดว่าจะทำอย่างไรค่ะ
...Writer = ก็น่าจะหมายถึงคนเขียนบทภาพยนตร์นะคะ
...Cinematographer = ผู้กำกับภาพ ก็คือ ตากล้องที่ทำหน้าที่ถ่ายภาพนั่นแหละค่ะ แต่ว่าไม่ได้ทำหน้าที่ถ่ายทำตามคำสั่งของผู้กำกับอย่างเดียวนะคะ ผู้กำกับภาพจะได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้กำกับว่าต้องการอารมณ์แบบไหน เล่าเรื่องยังไง แล้วผู้กำกับภาพก็จะมาคิดวิธีการถ่าย ออกแบบช็อต ออกแบบภาพที่จะออกมาผ่านเฟรม แล้วก็เอาไปเสนอผู้กำกับว่าจะถ่ายแบบนี้นะ ภาพประมาณนี้นะ โอเคมั้ย ผู้กำกับก็ตัดสินใจว่าจะเอาไม่เอา นอกจากนี้ ผู้กำกับภาพต้องคอยดูแลเรื่องการจัดแสงด้วยค่ะ เพราะนอกจากการจัดองค์ประกอบภาพแล้ว การจัดแสงก็จะช่วยในการสื่อสารอารมณ์ของภาพด้วย เพราะฉะนั้นผู้กำกับภาพต้องรู้เทคนิคต่าง ๆ มากมาย เพื่อจะสร้างสรรค์ภาพให้สามารถสื่อสารได้ดังใจผู้กำกับค่ะ
...Art Director = ก็คือ ผู้กำกับศิลป์ ก็คือ ออกแบบ สร้างสรรค์งานสร้างทั้งหลายที่เราเห็นอยู่ในหนังแหละค่ะ ไม่ว่าจะเป็นงานทางด้านการสร้างฉาก อุปกรณ์ประกอบฉาก หรือที่เรียกว่า Prop การแต่งกายของนักแสดง องค์ประกอบภาพที่จะออกมาในเฟรม ทั้งหมดนี้ ผู้กำกับศิลป์ ต้องดูแลและสร้างสรรค์งานทั้งหมดให้ออกมาตามที่ผู้กำกับต้องการค่ะ เพราะว่างานศิปล์ในการสร้างหนังนั้น ทั้งฉาก Prop เสื้อผ้า และอื่น ๆ ต้องออกมากลมกลืนและเป็นหนึ่งเดียวกัน เสื้อผ้าจะโดดจากฉากไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องมีผู้กำกับศิลป์คอยกำกับดูแลทั้งหมดนี้ให้เป็นกลมกลืน สวยงาม และตรงตามโจทย์ที่ผู้กำกับกำหนดค่ะ
...Editor = ก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ตัดต่อภาพค่ะ ทำหน้าที่นำภาพจากฟิล์มที่ถ่ายทำมา มาร้อยเรียงให้เป็นภาพยนตร์ ตามบทภาพยนตร์หรือ Storyboard ที่มีอยู่ แต่ใช่ว่าผู้ตัดต่อจะต้องตัดต่อตามบทเป๊ะ ๆ นะคะ ผู้ตัดต่อสามารถใส่เทคนิคต่าง ๆ หรือว่าเสนอวิธีการเล่าเรื่องที่แตกต่างไปได้ แต่ต้องเล่าในสิ่งที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอค่ะ แต่ถึงแม้จะเล่าเรื่องให้ตรงตามบทภาพยนตร์ แต่ผู้ตัดต่อภาพก็ต้องรู้วิธีการเล่าเรื่องให้มีความต่อเนื่อง รู้จังหวะว่าจังหวะไหนที่ควรจะตัดภาพนี้ เปลี่ยนไปอีกภาพหนึ่ง ไม่ให้สะดุด ก็ยากมาก ๆ เหมือนกันค่ะ
...Stunt Coordinator = ก็ประมาณว่าควบคุมดูแลเรื่องสตั๊นท์แหละค่ะ พูดง่าย ๆ ก็อาจจะประมาณพี่พันนา ฤทธิไกร ในต้มยำกุ้ง แต่ทีนี้พี่พันนาเค้าเหนือกว่า Stunt Coordinator ตรงที่เค้ากำกับคิวบู๊ ออกแบบคิวบู๊ ด้วย ถือว่าเป็น Martial Coreographer ค่ะ (สะกดถูกรึเปล่าไม่แน่ใจนะคะ)
...Production Manager = ผู้จัดการกองถ่าย ก็คือ คนที่คอยดูแลประสานงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการต่าง ๆ ในกองถ่าย เช่น นัดหมายนักแสดง จัดการเรื่องสวัสดิการในกองถ่าย การเงิน คือ เรียกได้ว่า ทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ การประสานงานในกองถ่าย คุณผู้จัดการคนนี้ต้องดูแลค่ะ อย่างทีมงานจะต้องขึ้นรถที่ไหน กี่โมง ใครขึ้นรถคันไหน ไปถึงแล้วจะกินข้าวที่ไหน แต่งหน้าทำผมตรงไหน ถ้าต้องมีการย้ายสถานที่ถ่ายทำก็ต้องคอยดูแลจัดการเรื่องการขึ้นรถ การเคลียร์สถานที่ถ่ายทำเดิมที่เสร็จแล้วด้วย ถ้าในกองถ่ายขาดอะไร ต้องการอะไร ก็ต้องหามาให้ได้ รวมทั้งดูเรื่องเวลาการถ่ายทำด้วยว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ไหม ว่าวันนี้จะเลิก 6 โมงเย็น แต่ยังไม่เสร็จเลย อาจเลื่อนไปถึงเที่ยงคืน เลื่อนได้ไหม สถานที่มีปัญหาไหม งบจะบานปลายมากไปหรือเปล่า เรียกได้ว่าดูแลการถ่ายทำให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย และคอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยค่ะ งานยิบย่อยมาก ๆ
...Assistant Director/Second Assistant Director = ผู้ช่วยผู้กำกับ ก็ตามตำแหน่งเลยค่ะ ทำหน้าที่ช่วยผู้กำกับทุกด้าน โดยปกติก็จะแบ่งเป็น ผู้ช่วยผู้กำกับ 1, ผู้ช่วยผู้กำกับ 2, ผู้ช่วยผู้กำกับ 3 (อาจมีแค่ 1 คน หรือ 3 คนก็ได้ แล้วแต่กองค่ะ) ทำหน้าที่คอยจัดการให้สิ่งที่ผู้กำกับต้องการนั้นออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ ถ้าในขั้นเตรียมงานก่อนวันถ่ายทำ ผู้ช่วยผู้กำกับก็จะช่วยในด้านการคัดเลือกนักแสดง การจัดให้นักแสดงมาซ้อม มาลองเสื้อผ้า จัดตารางเวลาการถ่ายทำ ดูแลและตามงานในฝ่ายต่าง ๆ ให้กับผู้กำกับ เช่น งานด้านฉาก Prop เสื้อผ้า สถานที่ถ่ายทำ พอมาถึงในกองถ่าย ก็ต้องคอยประสานงานในฝ่ายต่าง ๆ ขณะที่ทำการถ่ายทำ เช่น ดูแลเรื่องการแต่งตัวแต่งหน้านักแสดงให้เป็นไปตามกำหนดการและตามที่ผู้กำกับต้องการ ดูแลการเซ็ตฉาก Prop ให้เป็นไปตามที่ผู้กำกับบอก เช็คดูว่ากล้อง ไฟ เสียง พร้อมไหม การถ่ายทำเป็นไปตามแผนที่วางไว้ไหม ผู้กำกับต้องช่วยให้การถ่ายทำเป็นไปตามตารางเวลา ไม่เกินกำหนด ช่วยผู้กำกับในการโยกย้ายตารางการถ่ายทำให้เหมาะสมกับสถานการณ์ หากมีปัญหาอะไรในเบื้องต้นที่สามารถแก้ไขได้ก็ต้องแก้ไขในระดับหนึ่ง ก่อนที่จะถึงมือผู้กำกับ เรียกได้ว่าเป็นมือเป็นเท้าของผู้กำกับเลยล่ะค่ะ แล้วผู้ช่วยผู้กำกับ 1 จะมีอำนาจมากกว่า ผู้ช่วยฯ 2 มากกว่าผู้ช่วยฯ 3 ซึ่งผู้ช่วยฯ แต่ละคนก็จะมีหน้าที่แตกต่างกันไปค่ะ
...Continuity Person = ผู้ควบคุมความต่อเนื่อง สำคัญมากเหมือนกัน คือ ในการถ่ายทำหนังนั้น ไม่ได้ถ่ายทำไปตามลำดับเวลาในหนังจริง ๆ วันหนึ่ง ๆ อาจถ่ายหลายฉาก และฉากหนึ่ง ๆ อาจถ่ายหลายวัน เพราะฉะนั้น ผู้ควบคุมความต่อเนื่องต้องคอยจดบันทึก รวมถึงถ่ายภาพเก็บไว้ ว่าภาพที่เกิดขึ้นในแต่ละช็อตแต่ละฉากเป็นอย่างไร เช่น การแต่งตัวแต่งหน้าของนักแสดง Prop ที่อยู่ในฉาก นักแสดงประกอบมีกี่คน ใครบ้าง ยืนอยู่ตรงไหน คือภาพต่าง ๆ ที่อยู่ในเฟรมเนี่ย ต้องจดจำเอาไว้ให้ได้ เพื่อที่ว่าเมื่อกลับมาถ่ายฉากเดิมในวันอื่น ก็จะสามารถถ่ายได้เหมือนเดิม อารมณ์ต่อเนื่อง ไม่สะดุด ไม่ให้คนดูจับผิดได้ไงคะ
...Film Loader = ก็คือคนที่ทำหน้าที่เตรียมฟิล์ม และเปลี่ยนม้วนฟิล์มที่ใช้ถ่ายทำ เวลาฟิล์มหมดอะค่ะ ซึ่งจะมี Reporter ทำหน้าที่คอยจดเวลาที่ใช้ไปในฟิล์มแต่ละม้วน ว่าถ่ายอะไรไปบ้าง และ Reporter ก็จะคอยดูค่ะว่าฟิล์มใกล้หมดม้วนรึยัง ความยาวของฟิล์มเพียงพอที่จะใช้ถ่ายทำในช็อตต่อไปหรือเปล่า เพราะถ้าเกิดกำลังถ่ายทำอยู่ โห...เป็นฉากที่เน้นอารมณ์เลย นางเอกกำลังร้องไห้ อินกับบทบาทสุด ๆ ฟิล์มเกิดหมดขึ้นมา คนที่ซวยก็คือ Reporter นี่แหละค่ะ มีความผิดโทษฐานที่ปล่อยให้ฟิล์มหมดม้วน
...Steadicam Operator = เป็นตากล้องคนหนึ่งแหละค่ะ เพียงแต่ว่ากล้องที่ถ่ายเป็นกล้องพิเศษที่เรียกว่า Steadicam คือ กล้องที่จะเซ็ตไว้ให้ติดกับตัวตากล้องเลย แล้วตากล้องจะเดินถือกล้องนี้ถ่ายไปด้วย เรียกว่ากระเตงน่าจะถูก เพราะว่ากล้องจะถูกยึดติดกับตากล้อง เหมือนเวลาที่คุณแม่เอาลูกใส่กระเป๋าแล้วผูกกับเอวเลยล่ะค่ะ ซึ่งตากล้องที่จะถ่ายกล้อง Steadicam ได้เนี่ยต้องแข็งแรงและเชี่ยวชาญมาก ๆ ในเมืองไทยมีคนที่ถ่ายได้น้อยมากค่ะ เท่าที่ทราบมามีคนเดียวเท่านั้นค่ะ
...Production Sound Mixer = ก็ตรงตัวนะคะ คือ คนที่ทำหน้าที่ Mix หรือผสมเสียงนั่นแหละค่ะ เพราะว่าในการถ่ายทำ เค้าจะถ่ายแยกเสียงเป็นช่องต่าง ๆ มีเส้นเสียงพูดของนักแสดงแต่ละคน เส้นเสียงบรรยากาศ แล้วก็ยังต้องมีการใส่ Special Effect เข้าไปอีก คน Mix เสียง ก็คือคนที่จับเอาเสียงพวกนี้มาผสมกันให้ได้อย่างกลมกลืนและสมจริงค่ะ
...Boom Operator = Boom ในที่นี้ก็คือ ไมค์บูมค่ะ เป็นไมค์ที่มีประสิทธิภาพในการเก็บเสียงมาก สังเกตได้จากเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องต่าง ๆ คุณอาจจะเคยเห็นไมค์ที่ด้ามยาว ๆ ตรงหัวไมค์มีขน ๆ ส่วนใหญ่จะสีเทา ๆ เหมือนไม้ถูพื้น นั่นแหละค่ะ ไมค์บูมล่ะ
...Key Grip = น่าจะเกี่ยวกับการจัดการเรื่องอุปกรณ์ไฟนะคะ
...Dolly Grip = อันนี้ก็เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ประกอบเป็นรางดอลลี่อะค่ะ คือรางที่หน้าตาเหมือนรางรถไฟ ที่ตากล้องจะเอากล้องไปตั้ง แล้วขึ้นไปนั่งบนรางดอลลี่ แล้วเวลาถ่ายก็จะเลื่อนกล้องไปตามรางนี้ค่ะ จะทำให้ได้ภาพที่เคลื่อนไหวแบบนิ่งมาก ๆ
...Music Mixer = คิดว่าน่าจะคล้าย ๆ กับ Sound Mixer นะคะ แต่ว่า Mix เสียงที่เป็นเสียงเพลง และดนตรีประกอบอะค่ะ
...Visual Effects Director = ก็กำกับดูแลด้าน Effect ทางด้านภาพอะค่ะ
...FX Coordinator = FX ก็น่าจะหมายถึง Effect ค่ะ
...Post-Production Supervisor = ก็คือผู้ควบคุมดูแลงานด้าน Post-production คือ งานหลังจากการถ่ายทำเสร็จแล้ว นั่นก็คือ การตัดต่อ การพากย์เสียง การผสมเสียง การทำ Visual Effect/Special Effect ต่าง ๆ อะไรประมาณเนี้ยอะค่ะ
...Location Manager = เป็นคนที่จัดการเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการหาสถานที่ถ่ายทำ การวางแผนเกี่ยวกับสถานที่ถ่ายทำ เช่น สมมติว่าได้สถานที่ถ่ายทำฉากนี้แล้ว ก็ต้องดูว่าตรงไหนจะเป็นที่ถ่ายทำ ตรงไหนจะเป็นที่พักทานข้าว ที่แต่งหน้าทำผม จะเข้าห้องน้ำตรงไหน นักแสดงพักตรงไหน รถจะจอดตรงไหน การเดินทางไปสถานที่ถ่ายทำเดินทางด้วยวิธีไหน ดูเรื่องค่าใช้จ่ายในการเช่าสถานที่ถ่ายทำ ก่อนถ่ายทำต้องขออนุญาตตำรวจหรือไม่ ต้องขออนุญาตใช้เสียงหรือไม่ ฝ่ายฉากจะเข้าไปเซ็ตได้เมื่อไหร่ คือ ดูแลเรื่องสถานที่ถ่ายทำทั้งหมด ต้องทำงานประสานงานกับผู้จัดการกองถ่ายตลอดเวลา รวมถึงประสานงานกับผู้ช่วยผู้กำกับขณะถ่ายทำ และประสานงานกับฝ่ายฉากในตอนเซ็ตฉากด้วย เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่ค่อนข้างยิบย่อยค่ะ ส่วนสถานที่ถ่ายทำถ้าหากสถานที่เดียวสามารถถ่ายได้หลาย ๆ ฉากจะดีมาก หรือไม่ก็เป็นสถานที่ที่อยู่ใกล้เคียงกัน จะได้ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
...Property Master = Property ก็คือ Prop หรืออุปกรณ์ประกอบฉากนั่นเองค่ะ ก็คือ ดูแลเรื่องการหาอุปกรณ์ประกอบฉาก ซึ่งบางครั้งก็ต้องซื้อ เช่า หรือทำขึ้นมาใหม่
...Set Designer = ตรงตัวค่ะ ออกแบบฉาก
...Set Dresser = น่าจะเป็นคนที่ทำหน้าที่สร้างสรรค์ ตกแต่งฉากให้เป็นไปตามที่ออกแบบไว้นะคะ
...Costume Designer = คือผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายของนักแสดงค่ะ คือ แค่ออกแบบ ไม่ต้องลงไปจัดหาหรือว่าแต่งตัวให้นักแสดงเองก็ได้ แต่ต้องควบคุมดูแลให้การแต่งกายของนักแสดงออกมากแล้วเป็นไปตามที่ออกแบบไว้ ตามโจทย์ที่ผู้กำกับต้องการ
...Costumer = คือ คนที่คอยจัดหาเสื้อผ้านักแสดง แต่งตัวให้นักแสดง ให้เป็นไปตามที่ Designer ออกแบบไว้ค่ะ
...Make-up Artist = ก็คือช่างแต่งหน้านักแสดงค่ะ
...Body Make-up Artist = ก็คล้าย ๆ ช่างแต่งหน้า แต่คราวนี้เป็นตบแต่งที่ร่างกายของนักแสดงค่ะ เพราะบางทีนักแสดงก็ต้องทาตัวดำ หรือว่าเติมแผล เติมร่องรอยต่าง ๆ นะคะ
...Hairdresser = ก็ที่เรียกกันว่าช่างทำผมนั่นแหละค่ะ
...Second Unit Director = ในบางครั้ง การถ่ายทำบางฉากก็ยิ่งใหญ่มาก มีการลงทุนสูง และถ่ายทำหลาย ๆ เทคไม่ได้ เช่น ฉากระเบิดใหญ่ ๆ ฉากสงครามต่าง ๆ ทำให้ต้องมีกล้องถ่ายภาพยนตร์หลายตัว ซึ่ง Second Unit Director ก็คือคนที่ทำหน้าที่ผู้กำกับในจุดถ่ายทำอีกจุดหนึ่ง หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ผู้กำกับกล้อง 2 ค่ะ ก็ทำหน้าที่เหมือนผู้กำกับแหละค่ะ แต่ว่าดูแลการถ่ายทำของอีกกล้องหนึ่ง บางทีก็มีกล้อง 3 กล้อง 4 กล้อง 5 ด้วยล่ะค่ะ
...Transportation Coordinator = ก็น่าจะหมายถึงผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเดินทางของกองถ่าย การย้ายสถานที่ถ่ายทำ การขนข้าวขนของมากองถ่าย รถไฟ รถน้ำ รถสร้างพายุ รถตู้นักแสดง รถผู้กำกับ รถทีมงาน อะไรประมาณนี้ล่ะมังคะ แต่ว่าส่วนใหญ่ที่เห็นในกองถ่ายหนังไทย หน้าที่นี้จะอยู่ในส่วนของผู้จัดการกองถ่ายค่ะ
...CASTING หรือ ผู้คัดเลือกนักแสดง มีหน้าที่ คัดเลือกนักแสดงนำและจัดหาตัวประกอบ คนทำหน้าที่ CASTING ควรเป็นคนที่ใจเย็น สามารถพูดจาโน้มน้าวให้คนอื่นคล้อยตามได้ อธิบายเนื้อเรื่องและบุคลิกลักษณะของตัวละครให้กับผู้ที่มาทดสอบได้เข้าใจอย่างชัดเจนตรงกับจุดมุ่งหมายของผู้กำกับ รวมทั้งต้องมีมุมมองและรสนิยมที่ดี
...PRODUCTION DESIGNER หรือผู้ออกแบบงานสร้าง มีหน้าที่ สร้างสรรค์รูปแบบ (STYLE) ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตลอดทั้งเรื่องวางแผนการจัดฉาก มุมกล้อง MOOD &TONE การจัดแสง การใช้สี เสื้อผ้า การแต่งหน้า ทรงผม ต้องควบคุมทุกอย่างโดยปรึกษากับผู้กำกับ เมื่อสรุปรูปแบบของภาพยนตร์ได้แล้วก็จะส่งมอบงานต่อให้กับ ART DIRECTOR นำไปปฏิบัติ
...GAFFER คือ คนจัดแสง ค่ะ
---------------------------
Credit : สมาชิกที่มาตอบคำถามในเว็บบอร์ด http://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2006/10/A4755503/A4755503.html
Monday, April 06, 2015
วิธีการ ‘ปล่อยเลือด’ ช่วยชีวิตจาก ‘โรคหลอดเลือดในสมองแตกฉับพลัน’
แชร์ต่อจากไลน์ที่มีคนส่งต่อกันมา...
(อยู่ในไลน์บางทีไล่หากว่าจะเจอ + ล้างข้อมูลมันก็ไปหมดละ) Thank You kaaa...
วิธีการ ‘ปล่อยเลือด’ ช่วยชีวิตจาก ‘โรคหลอดเลือดในสมองแตกฉับพลัน’ (ท่านผู้ที่ดูแลพ่อแม่ควรรู้ไว้) จำให้แม่น ๆ เอาไว้ช่วยชีวิตคนได้บุญ
แพทย์อาวุโสแผนโบราณของไต้หวัน ได้ถ่ายทอดวิธีการช่วยชีวิตจาก โรคหลอดเลือดในสมองแตกฉับพลัน ซึ่งลูกกตัญญูหลายท่านเสียใจว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้..
เมื่อเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในสมองแตก เลือดจะไหลซึมออกมาอย่างช้า ๆ เมื่อพบกับสถานการณ์อย่างนี้ ขอให้ตั้งสติ ไม่ว่าช่วงจังหวะที่เกิดเหตุนั้นอยู่ ณ ที่ใด (ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องนอน หรือ ห้องนั่งเล่น) ขออย่าได้มีการเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยเป็นอันขาด เพราะถ้ามีการเคลื่อนย้าย จะเป็นตัวช่วยเร่งรอยแตกของเส้นเลือดฝอยให้มากขึ้น
สิ่งแรกที่ควรทำคือ ประคองผู้ป่วยให้เอนนั่งตัวตรงมั่นคงก่อน ระวังอย่าให้ล้มเอนลงอีก
เคล็ดลับการปฐมพยาบาล (ปล่อยเลือด)
ถ้าหากในบ้านมีเข็มฉีดยาอยู่ จะเป็นการดีที่สุด หากไม่มี ใช้เข็มเย็บผ้าก็ได้ แทงเข้าไปที่ปลายนิ้วมือ ทั้ง 10 ของผู้ป่วย (ไม่กำหนดจุดที่แน่นอน แค่ให้ห่างจากปลายเล็บนิ้วพอประมาณ) แทงให้มีเลือดไหลออกมา (ถ้าเลือดไม่ไหลออกมา ให้ใช้มือช่วยบีบได้) นิ้วละ 1 หยด ประมาณไม่กี่นาทีต่อมา ผู้ป่วยจะฟื้นตื่นขึ้นมา
ถ้ามีอาการปากเบี้ยว ให้ดึงหูทั้ง 2 ข้างของผู้ป่วยจนหูแดง ให้แทงที่ด้านล่างของใบหูทั้งสองข้าง ๆ ละ 2 ครั้ง (ติ่งหู) จนมีเลือดไหลออกมา เพียงไม่กี่นาทีปากก็จะกลับฟื้นคืนสภาพเดิมได้ และให้รอจนกระทั่งผู้ป่วยฟื้นคืนสภาพกลับมาเป็นปกติ โดยไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติแล้ว จึงค่อยนำส่งต่อไปหาแพทย์
ถ้าหากรีบร้อนอุ้มขี้นรถพยาบาลไปหาแพทย์ทันที เกรงว่าในระหว่างทางจะเกิดอาการช็อคขึ้นมาก่อนไปถึงโรงพยาบาล เส้นเลือดฝอยในสมองของเขาอาจแตกเพิ่มจนเกือบหมด ในกรณีที่โชคดีไม่ถึงตาย ก็อาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ หรือ อัมพาตก็ได้
ถ้าหากว่า พวกเราสามารถจดจำวิธีการนี้ จะสามารถช่วยเหลือได้ทันที ในช่วงระยะเวลาที่สั้น ๆ นี้ สามารถทำให้ฟื้นคืนจากความตายได้ อีกทั้งยังช่วยให้รักษาที่โรงพยาบาลหลังจากนั้น จะมีความสมบูรณ์หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
CR:อ.มาศ ซินแสไฮเทค
Monday, February 02, 2015
ข้อคิดเวลาเจอปัญหา...
2 กุมภาพันธ์ 2558 20:33 น.
เศรษฐีกับพวกไปเที่ยวฟาร์มแห่งหนึ่ง ทุกคนสนุกสนานกับธรรมชาติ และกิจกรรมในฟาร์มมาก แต่ขณะที่กำลังจะเดินออก เศรษฐีคนนั้นก็พบว่า ”นาฬิกาพก”รุ่นเก่าที่ภรรยาซื้อให้ในวันเกิดหายไป มันต้องตกอยู่ในคอกม้าอย่างแน่นอน เขากับเพื่อนช่วยกันกระจายกันเดินหา”นาฬิกา”ทั่วคอกม้า
ระหว่างเดินหาเพื่อนก็พยายามพูดให้กำลังใจเศรษฐีคนนี้ เดินหาเท่าไรก็ไม่พบ เขาไปแจ้งเจ้าของฟาร์มให้ช่วยเหลือ เจ้าของก็แสนดีเกณฑ์คนที่ว่างงานอยู่เกือบ 20 คนไปค้นหา มีทั้งคุณลุงที่ประจำอยู่คอกม้า ผู้หญิงที่ทำความสะอาด และเด็กชายคนหนึ่ง ทุกคนกระจายกันค้นหา มีการตะโกนบอกกันเป็นระยะๆว่าค้นตรงนั้นแล้วไม่เจอ ให้คนนั้นไปหาตรงนี้ ใช้เวลาค้นหาประมาณ 1 ชั่วโมงก็หา”นาฬิกา”ไม่เจอ เศรษฐีเริ่มสิ้นหวัง คิดว่าคงต้องสูญเสียนาฬิกาเรือนนี้ไปอย่างแน่นอน
ขณะที่พนักงานของฟาร์มจะเดินจากไป เด็กชายคนนั้นเดินย้อนกลับมาหาเศรษฐีคนนี้อีกครั้ง
“ขอผมลองเข้าไปดูอีกครั้งนะครับ แต่ขอผมเข้าไปคอกม้าคนเดียว”
แม้จะรู้สึกว่าเสียเวลาเปล่า แต่เมื่อเด็กน้อยมีน้ำใจ เขาก็พยักหน้าทั้งที่ไม่มั่นใจว่าจะหาเจอ พวกเพื่อนๆก็บ่นลับหลังว่าพวกเราและคนของฟาร์มตั้งเยอะยังหาไม่ได้
“ไปหาคนเดียวจะเจอได้อย่างไร”
แต่ไม่ถึง15 นาที เด็กชายคนนี้เดินออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาชูนาฬิกา
“ใช่ เรือนนี้หรือเปล่าครับ”
เศรษฐีดีใจมาก เพราะนั่นคือ”นาฬิกาพก”แสนรักที่เขากำลังค้นหาอยู่ เขากล่าวขอบคุณและให้สินน้ำใจกับเด็กน้อยแต่ยังคาใจ
“เธอหาเจอได้อย่างไร”
เด็กน้อยยิ้มแฉ่ง บอกว่าพอเข้าไปข้างในคนเดียว เขาก็เพียงแต่นั่งเงียบๆ แล้วค่อยๆเปลี่ยนจุดนั่งไปเรื่อยๆ “แค่จุดที่ 3 ผมก็ได้ยินเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก” เขาเล่า
“ผมแค่เดินตามเสียงนั้นไปก็เจอนาฬิกาเรือนนี้ครับ”
การค้นหานาฬิกาเรือนนี้ทั้ง 2 ครั้ง ทุกคนคุยกันไปหากันไป ทุกคนพยายามมองหาตัว ”นาฬิกา” แต่ไม่ได้คิดจะฟัง”เสียง”ของนาฬิกา เสียงพูดคุยกลบเสียงดังของนาฬิกาไปสิ้น
เรื่องเล่าเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการแก้ปัญหาไม่ได้มีเพียงหนทางเดียว เราสามารถค้นหา ”นาฬิกา” ได้ 2 แบบ จะ ”ดู” หรือจะ ”ฟัง”
ทุกปัญหาก็เช่นกัน เราจะแก้ปัญหาแบบที่คนส่วนใหญ่ทำ หรือเราจะมองปัญหาให้ละเอียด มองให้ครบทุกองค์ประกอบ บางทีการแก้ปัญหาอาจมีหลายหนทาง และอีกเรื่องหนึ่งที่ ”เด็ก”คนนี้สอนเราก็คือในวิกฤติที่คิดว่าปัญหาหนักหนาสาหัส บางครั้งเราต้องนิ่ง ต้องมี”สติ” ทำใจให้สงบ เมื่อมีสมาธิ จึงจะค้นพบ”ทางออก” ค่ะต้องนิ่ง และเงียบเท่านั้น เราจึงจะได้ยินเสียง”นาฬิกา"
ดร. รสา คำ
ข้อมูลจาก: http://nisit.co/WZOr
Saturday, December 06, 2014
'ment 10 ข้อของผู้หญิงที่ “พึ่งตัวเองได้”
1. เธอจะให้แรงบันดาลใจดีๆ กับคุณ
พวกเธอเหล่านั้นพร้อมชนทุกปัญหาที่พวกเธอเจอ เธอก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความกลัว แต่สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือ การกลัวที่จะไม่ได้ใช้ความสามารถที่เธอมีอย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่อง และนี่คือสิ่งหนึ่งที่คุณจะได้จากพวเธอเหล่านี้ >> เหรออออ???
2. เธอไม่เชื่อว่าคบกันต้องตัวติดกันตลอด!
หากคุณต้องการคนที่จะอยู่กับคุณตลอด ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด คุณอาจจะหาไม่ได้ในผู้หญิงพวกนี้ เธอรักคุณ และเห็นคุณคือส่วนหนึ่งในชีวิต แต่ไม่ใช่ “ทั้งหมด” ของชีวิต >> อืมม... ถ้าทำให้เคยตัว มันก็นะ ยกเว้นว่าไปเจอกิจกรรมอะไรที่จะเอาจริงเอาจังล่ะก็ (เอาง่ายๆ คือ เข้าขั้นบร้าาาาา) งานนี้ เพื่อนก็เพื่อนเหอะ...
3. เธอไม่ขอความช่วยเหลือง่ายๆ
คนแบบนี้จะมองว่า การขอความช่วยเหลือคือ การแสดงถึงความอ่อนแอ เธอจะไม่ขอความช่วยเหลือ และคุณก็ต้องเคารพในสิ่งๆ นั้น คุณสามารถเสนอความช่วยเหลือได้ แต่ถ้าเธอบอกว่า “ไม่” ก็คือ “ไม่” >> อันนี้ เป๊ะ แต่บางที เราเองก็ปากแข็งไป จนลืมว่าคนเราไม่สามารถทำได้ทุกเรื่อง + เกรงใจคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อนบ่อยๆ เหมือนกัน 55
4. เธอต้องการคนที่เข้มแข็งอยู่เคียงข้าง
พวกเธอต้องการคนที่เข้าใจเธอ และให้ระยะห่างที่พอเหมาะกับเธอ เพราะฉะนั้น คงต้องเป็นผู้ชายที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง และ “พึ่งตัวเองได้” เช่นกัน ถึงจะคบกับพวกเธอได้ >> ไม่รู้ว่ะ ไม่เคยมี "แฟรรนนน"
5. เธอชอบไปเที่ยวคนเดียว
การผจญภัยไม่ว่าใกล้ หรือไกลนั้น เธอชอบไปคนเดียว เพราะมันคืออิสระที่พวกเธอชื่นชอบ และการไปคนเดียวมันทำให้เธอได้ประสบการณ์กลับมาแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นเอง >> ประเด็นมันมาจากว่า วางแผนทีไร ล่มทุกที ไม่ก็คุยกันดิบดีว่าจะไปๆ คอนเฟิร์มกันเรียบร้อยปั๊บ งานเข้าจร้าาาา อด... นึกจะไป อยากจะไป ก็ไปเลยละกันนน!!
6. เธอมีเพื่อนน้อย
บางมุม เธอก็อาจจะดูน่ากลัว ทำให้เธอมีเพื่อนน้อย แต่เป็นเพื่อนที่ พอสนิทกันจริงๆ แล้ว เธอจะสนิทกับคนคนนั้นมากๆ เลยล่ะ >> สนิทจนกลายเป็นศัตรูอะดิ... เงิบ เบยยย
7. เธอไม่เคยกลัวที่ต้องอยู่คนเดียว
หากคืนวันศุกร์ไม่มีใครว่างไปทานข้าว ดูหนัง พวกเธอก็ไม่หวั่น เธอสามารถไปทานมื้ออาหารสุดโรแมนติกกับตัวเองได้ และเป็นการดีที่เธอจะได้นั่งคิดอะไรเพลินๆ ไอเดียดีๆ ในการทำงานอีกด้วย >> ส่วนมากจะประเด็นเดียวกับข้อ 5 นะ มีบ้างที่รู้สึกอยากมีเวลาให้ตัวเอง ในที่สาธารณะ!!!
8. เธอประสบความสำเร็จด้วยตัวของเธอเอง
เธอเป็นตัวของตัวเอง เธอรู้ว่าความสามารถของเธอคืออะไร เธอรู้ว่าอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเธอ และเธอจะทำมันให้สำเร็จด้วยตัวของเธอเอง >> อืมม... มันเป็นเรื่องที่ต้องเกี่ยวกับคนว่ะเฮ้ยยย
9. เธอรักที่จะรัก
เธออาจจะดูเป็นคนไม่หวานกับใครเท่าไหร่นัก แต่เธอเชื่อในความรัก และมีวิธีแสดงความรักในแบบของเธอ ที่จริงๆ แล้วมีความหมายมากๆ เลยทีเดียว >> เวลาชีวิตคนเรามันน้อย จะมาเสียเวลามานั่งอ้ำๆ อึ้งๆ ทำไม ชอบใครก็เดินไปบอกกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่แคร์ด้วย (ว่ามีแฟนแล้วรึยัง เอ๊ะ.. ยังไง 55+)
10. เธอยึดคำแนะนำของ Shakespeare มีคำแนะนำของ Shakespeare ที่ว่า “To thine own self be true” และเธอเหล่านั้นก็ยึดถือขึ้นใจ คือ การไม่ยอมเปลี่ยนตัวตนของตัวเองเพื่อใคร เธอรู้จักปฏิเสธ หากไม่มีใครกอดเธอ เธอนั่นแหละที่จะกอดตัวเอง และอยู่รอดได้! >> คือ ไม่ชอบอ่านนิยาย เลยไม่ค่อยตามงานเขียนของ เช็คสเปียร์ อะดิ รู้จักแต่ วางตำแหน่งตัวเอง (แบบเชิงธุรกิจ ง่ะ) 555
December 3, 2014 Kiitdoo H/T: Likehack