Wednesday, May 16, 2012

Lisa Mag 01

 แค่อยากแชร์กันอ่าน... จริงๆคือ ไม่อยากเก็บทั้งเล่มไว้เพราะอยากได้ไว้แค่บางอัน ฉีกเก็บไว้ก็ทำหาย ไม่ก็เผลอทิ้ง ใส่ออนไลน์ไว้ยังจะได้อ่านเรื่อยๆมากกว่า (จนกว่าเว็บจะล่ม 55) ไม่รู้จะอ่านเห็นกันมั้ย ถ้าอยากอ่านชัดๆ สบายๆตา ก็คงต้องไปหาเล่มจริงมาอ่านกันเอาเองจ้าาา ^ ^



Wednesday, February 22, 2012

แกงค์ชิงรถ

จาก Forward Mail  เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555

ระมัดระวัง!
สำหรับท่านที่ขับรถ หากมีข้อผิดสังเกต หรือมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น อย่าพึ่งลงจากรถ กรุณาใช้สติใคร่ครวญให้รอบคอบ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นข้อเตือนใจให้ระมัดระวังความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและเมื่อท่านอ่านจบแล้ว ขอให้ช่วยบอกต่อให้กับเพื่อนและคนที่คุณรักด้วย

เมื่อวานได้ฟังเพื่อนเล่าว่าจอดรถไว้ที่วัดโพธิ์และไปเดินดูของที่ตลาดนัดสะพานพุทธ ขากลับมาที่รถประมาณ 2 ทุ่ม ตอนออกรถมีผู้ชายมายืนขวางหน้า เพื่อนเห็นว่ามีคนเดียวและตัวเองก็เป็นผู้ชายจึงเปิดกระจกถามไปว่ามีอะไร เท่านั้นแหละมีผู้ชาย 3-4 คนมาจากไหนไม่รู้ลากตัวเขาออกมาซ้อมด้านหลังรถ
แล้วขับรถพาไปด้วยไปชานเมือง ลากตัวลงมาซ้อมต่อ คนหนึ่งบอกให้ยิงทิ้ง อีกคนบอกว่าแทงให้ตาย สุดท้ายคนหนึ่งบอกว่ามันพูดดีปล่อยมันก่อนไปพวกมันถอดเสื้อผ้าออกหมด เอาเสื้อมัดแขนไว้และขับรถพร้อมทรัพย์สินทั้งหมดไปโชคดีที่ไม่ตาย

ใครที่พบเหตุการณ์อย่างนี้แนะนำว่าอย่าเปิดกระจกรถ เพราะคนร้ายที่แอบอยู่สามารถดันกระจกลง และปลดล็อคประตูได้ ทางที่ดีใช้แตรกด...ดังๆ ให้เป็นจุดสนใจ จำได้ว่าเร็วๆ นี้มีข่าวคนมาจากต่างจังหวัดไปถามทางคนที่อยู่แถวท่าเตียน ก็ถูกซ้อมและปล้นลักษณะคล้ายกัน

โปรดระวังภัยนี้ส่วนใหญ่จะโดนกับผู้หญิงที่ขับรถปิ๊กอัพคนเดียว คุณพ่อเค้าเคยได้ยินมาว่าพวกผู้ร้ายมีการชิงรถแบบใหม่ โดยเฉพาะรถกระบะใหม่ๆที่ไม่มีหลังคาท้ายกระบะ ซึ่งคนร้ายจะสามารถโยนสิ่งของใส่ท้ายรถได้ ถ้าเป็นรถเก๋งก็มักจะทิ้งของบางอย่างไว้ข้างๆรถ โดยต้องเป็นที่สังเกตได้ง่ายของเรา

หลังจากที่คุณพ่อเตือนได้ไม่กี่วัน คุณพ่อก็กลับมาเล่าให้ฟังว่ารุ่นน้องที่บริษัทเพิ่งไปโดนมา แต่โชคดีที่คุณพ่อเคยเตือนไว้ก่อนจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิด เค้าไปจอดรถกระบะไว้ข้างถนน แล้วลงไปทำธุระ พอกลับมาที่รถก็เห็นมีรถเก๋งจอดต่อท้ายอยู่เค้าก็ไม่ได้สนใจ แต่ก่อนที่เค้าจะขึ้นรถก็เห็นว่าท้ายรถมีซองสีน้ำตาลคล้ายซองเอกสารแต่มีลักษณะบวม พอง เค้าเห็นดังนั้นก็คิดถึงคำเตือนได้จึงหยิบซองกระดาษทิ้งพงหญ้าข้างถนนแล้วรีบขึ้นรถทันที แล้วเค้าก็เห็นว่ารถคันหลังที่เหมือนจอดสนิทก็ออกรถไปทันทีเช่นกัน เค้ารู้ได้ทันทีว่าเป็นแกงค์ชิงรถแน่ๆ

แกงค์พวกนี้จะใส่ยาหรือสารที่ทำให้เรามึนงง ไว้ในรถบ้าง ข้างรถบ้างที่เราเห็นชัดเจน (ตามปกติคนเรามักจะสงสัยและหยิบมาเปิดดู) แล้วก็จอดรถซุ่มดูอยู่ใกล้ๆ เมื่อเหยื่อหลงกลเปิดดูหรือจับโดนสาร ก็จะชิงรถและของมีค่าไป

ฝากเตือนเพื่อนๆ ทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว

Monday, February 20, 2012

คำขวัญกรุงเทพฯ " โดยโน้ตอุดม จากเดี่ยว 9

จาก Forward Mail เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2554

กรุงเทพฯ งามสง่า ตระการตาอุโมงค์ยักษ์ ใครประจักษ์แสนปราโมทย์ ต่างชาติโหวตเมืองน่าเที่ยว มาครั้งเดียวต้องสะดุด วิเศษสุดคือรถติด หนีควันพิษมีรถไฟฟ้า อนิจจาสั้นไปไหน? ไม่เป็นไรมีแท็กซี่ โบกกี่ทีพี่บอกส่งรถ ทีฝรั่งแม่งไปหมด งามหมดจด 2 มาตรฐาน สุขสราญรถเมล์ฟรี จากภาษีกูนี่หนอ ต้องยืนรอ 3 ชั่วโคตร แต่ห้ามโกรธเพราะมันฟรี   ส่วน 3G รอไม่นาน 3 รัฐบาลน่าจะเสร็จ iPhone7 คงออกแล้ว แต่ไม่แคล้วช้ากว่าลาว นางสาวไทยเริ่มขัดตา สวยงามกว่าอยู่มอเตอร์โชว์ สวยไฮโซอยู่พารากอน สวยเงินผ่อนอยู่แพลตตินั่ม สวยคล้ำๆ อยู่หน้าราม สวยพยายามอยู่ยันฮี มากศักดิ์ศรีคือช่างกล ตีทุกคนไม่...เลือก หน้า มีดระเบิดปืนปากกา ลูกหลงมาเราสุขสันต์ เมืองล่าฝันบ้านAF อยากเป็นเซเลบไป The Star อยากดันดาราไปหา VT อยากโดนด่าฟรีไป Got Talent อยากเห็นฝรั่งให้ไปข้าวสาร อยากแต่งงานให้ไปบางรัก ถ้าอกหักกลับมาบางพลัด แวะพาหุรัดซื้อผ้าสุดคุ้ม ศูนย์ประชุมไปขายหนังสือ ขายมือถือไปมาบุญครอง ขายทองไปเยาวราช ขายชาติ...ไปสภา...

เตือนภัย :: กระเป๋าเดินทางและยาเสพติดในสนามบิน

จาก Forward Mail เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2554

คำเตือน"ร้ายแรง"...เกี่ยวกับกระเป๋าเดินทางและยาเสพติดในสนามบิน--เรื่องจริงร้ายแรงถึงตายได้

ระหว่างทานอาหารกลางวัน  ผมได้ยินเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงซึ่งเคยอยู่ในหน่วยปราบปรามยาเสพติดคุยกัน เขากล่าวว่าเดี๋ยวนี้มันทำกันแบบนี้

1) แอบใส่ยาเสพติดลงในกระเป๋าเดินทางของท่านที่สายพานกระเป๋าเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเป๋าเดินทางนุ่มที่ด้านภายนอกมีหลายกระเป๋า และรอให้คุณผ่านด่านศุลกากรได้แล้ว  จึงมาเอาของจากคุณข้างนอกผู้โดยสารหลายคนที่ไม่รู้เรื่อง ถูกจับกุมด้วยวิธีนี้
ป้องกัน : ใช้กระเป๋าเดินทางอย่างแข็งโดยไม่มีกระเป๋าเล็กด้านนอก

2) บางครั้งจะมีหญิงชราที่จะแกล้งทำเป็นไม่สามารถหิ้วกระเป๋าเองได้ และขอให้ท่านช่วยหิ้วผ่านด่านศุลกากรให้หน่อย
ป้องกัน : ไม่ช่วยคนหิ้วกระเป๋าเดินทางออก
      
เขากล่าวว่าพฤติกรรมเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดในประเทศจีน,อินเดีย,Sydney,และสนามบินอื่น ๆ   คนไทยหลายคนอยู่ในคุกจำนวนมากในประเทศจีนและต่างประเทศ และหลายคนที่ถูกจับในประเทศจีน ถูกประหารชีวิต!

โปรดระวังให้มาก!

สรุปการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด) ในหัวข้อ “ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”

จาก Forward Mail เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2554

สรุปการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด) ในหัวข้อ “ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”
หลัก 3 อ.
1. อารมณ์ต้องดี
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. อาหาร

การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น 1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ 2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค 3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol 4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ 5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป 6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของริดสีดวงทวาร 7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก 8. มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง

อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกอย่างที่มีส่วนผสมของสารเคมี

การสระผม
ไม่ควรใช้แชมพู เนื่องจากมีส่วนผสมของโซดาไฟ ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ

น้ำมันพืช
ควรหยุดกินน้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันการบูด กันหืน แต่งสี เพราะเมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนั ง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง

การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด

น้ำมันมะพร้าว
นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน

เกลือ
การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ

กะทิ
กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)
ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ

น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ / ใช้เป็น Hair Serum / ใช้ล้างเครื่องสำอาง / ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้ / มี SPF 90 (Sun block)

Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้

น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง
ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ

น้ำตาลปื๊บ
น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว

น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค

กาแฟ
การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ

ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้

ขนมหวานจากกะทิ
ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่

กล้วย
ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว

มันเทศ เผือก ฟักทอง
ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง

กล้วยไข่
กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple

กล้วยน้ำว้า
ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด / ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย) ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้
กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง

น้ำมะพร้าวอ่อน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ

กล้วยหอม
มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และอัลไซเมอร์ สำหรับผู้สูงอายุให้ทานสัปดาห์ละ 3 ผล เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน

สับปะรด
มีสารบอบิเรน ป้องกันมะเร็ง มีมากที่แกนสับปะรด โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง

ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน

การทำบุหงารำไป
พริกไทดำ 1 ส่วน กานพลู 1 ส่วน โป้ยกั๊ก 1 ส่วน (แก้หวัด 2009) ดอกจันทร์ กลีบใหญ่เอามาเด็ดกลีบ 1 ส่วน นำมาคลุกรวมกัน
แต่ถ้านำมาเติมพิมเสน 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน (ครึ่งกระป๋อง) เมนทอล 1 ส่วน คลุกรวมกัน ทิ้งไว้ 1 วัน เทใส่ตะแกง นำเอาส่วนที่แห้ง ๆ มาใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ดมกลิ่น ถ้าไม่หอมให้นำไปตากแดด เก็บไว้ใช้ได้นาน 4 ปี แต่ถ้านำน้ำที่แยกออกมาและเติมสมุนไพรอีก 12 ชนิด หมักไว้ 1 เดือน ก็จะคล้าย ๆ น้ำมันที่มีกลิ่นเหมือนพิมเสนเอาไว้ดม และทา

ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาดร์ พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) จะไม่เป็นเบาหวาน
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง

นม
ไม่ควรดื่มนมข้ามสายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมวัว นมแพะ

ทุเรียน
กินแล้วไม่อ้วน แต่ช่วยลดความอ้วน และ Cholesterol

ข้าวเหนียว
กินแล้วไม่อ้วน ถ้าไม่มีน้ำตาลทราย

กวาวเครือขาว
สำหรับสุภาพสตรี ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม บริโภคทุกวันวันละ 1 เม็ด จะไม่เป็นวัยทอง

ระวังยารักษาสิว ทำให้สมองตีบ

จาก Forward Mail เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2554
สิว,ใครเป็นสิว..อ่านตรงนี้ โดย...ผีเสื้อขาว

ด่วน!!! เราเป็นพยาบาล... มีคนรู้จักโทรศัพท์มาปรึกษาเราว่า...หมอจะผ่าตัดเอากระโหลกศีรษะน้องสาวออกควรทำอย่างไรดี ?
...เรื่องมีอยู่ว่าน้องสาวของเขาอายุยังไม่ถึงสามสิบปี ขณะนี้นอนอยู่ห้องไอซียู (I C U) ด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ อาการสมองบวม โดยศัลยแพทย์ด้านศัลยกรรมประสาทและสมอง บอกว่าต้องผ่าตัดเอากะโหลกศีรษะออกบางส่วนเพื่อลดแรงดันในสมองเนื่องจากได้ให้ยาลดอาการสมองบวมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
เขาเล่าให้ฟังว่า น้องสาวยังโสด ไปรักษาสิวเป็นประจำ ต่อมาได้รับยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาสิว ตัวเขาคิดว่าน่าจะเกิดจากยาคุมกำเนิดนี้ที่ทำให้เส้นเลือดในสมองของน้องตีบ    เราจึงหาโอกาสพูดคุยกับแพทย์ 2 - 3 ท่าน  2 ใน 3 เป็นศัลยแพทย์ด้านศัลยกรรมระบบประสาทและสมอง ได้รับความรู้ว่ายาคุมกำเนิด  ยารักษาสิว ที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตรเจน (ESTROGEN) มีผลข้างเคียงทำให้เส้นเลือดดำ (VEIN) ในสมองตีบได้  แพทย์ทั้งสองท่านก็เคยผ่าตัดให้กับคนป่วยด้วยสาเหตุดังกล่าวมาแล้วหลายราย  คุณหมอบอกว่าผลการรักษาก็ไม่ดีนัก คือ หากไม่เสียชีวิต ก็พิการ เราฟังแล้ว โอ้โห...คนป่วย คนเป็นสิวจะรู้มั้ยเนี่ย..
เราจึงตัดสินใจเผยแพร่เพื่อ..ให้ทุกๆท่านได้รู้ว่า...ต้องระวังและรอบคอบหน่อยนะคะทั้งคนรักษาและคนเป็นสิว

***ช่วยส่งต่อหรือบอกให้เพื่อนๆได้รับทราบด้วยนะคะ...เก็บเสบียงไว้เป็นบุญ***

รถเกียร์ออโต้ ระวังกล่องสัญญาณกันขโมยทับก้านคันเร่ง

ทุกท่านที่ขับรถเกียร์ออโต้ และติดสัญญาณกันขโมย **ต้องอ่าน**
จาก Forward Mail เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2554

ช่วยบอกต่อกับคนที่เรารักเพื่อความปลอดภัยและมีสติ...

เวลาประมาณ 11.00 น. เป็นวันที่ผมมิอาจลืมได้ ในชีวิตนี้ ผมได้ขับรถขึ้นทางด่วนพิเศษจากถนนจันทน์ มุ่งหน้าไปถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อที่จะไปทำบุญบริจาคสิ่งของ ที่บ้านเด็กอ่อนพญาไท ติด ถ.แจ้งวัฒนะ- ปากเกร็ด ขณะขับรถไปได้ประมาณ 20 นาที และมองไปที่คันเร่ง เห็นหน้าจอ ที่ 140 กม.ผมก็ได้ถอนคันเร่งและแตะเบรก 2 ครั้งเพื่อลดความเร็ว  แต่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมได้ลองใหม่อีก 3 ครั้ง คราวนี้กระชากเบรกมือด้วยอีก 2 ครั้ง เบรกเท้าอีกก็เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ความเร็วอยู่ที่ 130 กม/ชม. ผมได้พยายามกดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสนิทที่นัดแนะไปทำบุญด้วยกัน เพื่อนแนะให้ลดเกียร์ จาก D เป็น 2 และ L ความเร็วลดจาก 130/ ชม. เป็น 120- 110 ซึ่งลดลงได้เพียงเท่านี้ ความพยายามในการชะลอรถมากกว่า 10 นาที และลองเกียร์ว่าง 1 ครั้ง ไม่มีผลเลย ผมคิดว่าคงอาจจบชีวิตบนการทางพิเศษแล้ว

เพื่อนได้แนะอีกครั้ง และสมาธิเริ่มรวบรวมความพยายามประมาณครั้งที่ 7 โยกเกียร์มาที่ช่อง N เป็นเกียร์ว่างแล้วดับเครื่อง คราวนี้รถได้ชะลอความเร็วลงมาก ผมได้ประคองขับรถต่อไปอีกประมาณ 5 กม.. กว่ารถจะหยุดได้ ซึ่งผมก็สามารถหยุดชิดขอบทางได้ เหมือนรอดตายพ้นนรก ผมรีบโทรบอกที่บ้านเพราะตอนแรกนึกว่าคงไม่ได้โทรสั่งเสียหรือสั่งลา ผมได้เดินอีกประมาณ 100 เมตรไปบอกเจ้าหน้าที่เก็บเงินที่ ด่านเก็บเงินใกล้แจ้งวัฒนะเพื่อขอความช่วยเหลือ รอประมาณ 10 นาที ก็มาช่วย ผลปรากฏว่าสาเหตุที่คันเร่งค้าง เพราะกล่องสัญญาณกันขโมยซึ่งหนักประมาณเกือบครึ่งกิโลไปทับอยู่ที่ก้านของคันเร่งและเกิดการล็อคขึ้น

ได้สอบถามกับอู่รถแล้วอู่แจ้งว่า มีโอกาสเป็นไปได้ที่คันเร่งค้างจากสาเหตุดังกล่าว เนื่องจากกล่องสัญญาณกันขโมยจะติดตั้งอยู่เหนือคันเร่งติดตัวถังรถสิ่งที่ควรกระทำคือ ตั้งสติแล้วโยกเกียร์มาที่ช่อง N เป็นเกียร์ว่าง จากนั้นปิดสวิทช์กุญแจดับเครื่องยนต์และเปิดไฟฉุกเฉิน รถก็ยังวิ่งอยู่แล้วค่อย ๆ เหยียบเบรคเป็นระยะ ๆ ความเร็วรถจะค่อยลดลง จนสามารถจอดรถได้ การปิดสวิทช์กูญแจรถยนต์ดับเครื่องเลยในขณะที่เกียร์รถไม่อยู่ที่ N รถก็ยังวิ่งอยู่เครื่องยนต์และระบบเกียร์จะเสียหายมากกว่าที่อยู่ช่อง N ครับ

ขอเพิ่มเติมให้อีกหน่อยครับ ถ้าวิธีนี้ใช้ได้จริง
ดับเครื่องเฉย ๆ นะครับ อย่าดึงกุญแจออกจากรูกุญแจ เดี๋ยวพวงมาลัยล็อคจะยิ่งแย่เข้าไปอีก เพราะถ้าดับเครื่องโดยที่กุญแจยังเสียบอยู่ เรายังบังคับเลี้ยวได้ พวงมาลัยจะไม่ล็อค เราจะเปลี่ยนเลนเพื่อหลบรถคันหน้าได้

Monday, February 06, 2012

Tablet กับการศึกษา

เรื่องข่าวการเมืองไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่ (จริงๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษทั้งนั้นแหละ) จัดบล็อกใหม่ไปเรื่อย แล้วเห็นว่าเนื้อหาที่เคยเขียนไว้ใน Exteen น่าจะอยู่ในนี้มากกว่า ก็เลยย้ายที่มา (ปรับเวลาให้ตรงกับที่โพสไว้ในบล็อกเดิมด้วยเลย...)

ข่าวการศึกษาของ กรุงเทพธุรกิจลงไว้  (แต่เราเอามาจากเฟสบุค!!) เพราะนโยบายของรัฐบาลที่จะแจกแท็บเล็ตให้เด็ก ป.1 เป็นเรื่อง บิล เกตส์ ทุ่มเงินแก้ปัญหาการศึกษา ด้วยการยกระดับครู ไม่ใช่แจกคอมพ์

ความคิดเห็นของเราในเรื่องแจกแท็บเล็ตเนี่ย ไม่สนับสนุนนะ และเชื่อว่าหลายคนก็คงจะเคยได้รับเมลล์ส่งต่อของการขอของครูในโรงเรียนต่างจังหวัด ที่ต้องการเปลี่ยนการแจกแท็บเล็ตเป็นห้องเรียนหรืออาคารเรียน ขอครูเพิ่ม ขอหนังสือเรียน สมุด เครื่องเขียนและของใช้อื่นๆสำหรับเรียนหนังสือ และเสริมความรู้ให้เด็ก 
เราเองใช้ชีวิตในเมื่องมาตั้งแต่เกิด คอมพังใช้ทำงานส่งครูไม่ได้เลยก็เคยมาแล้ว เข้าใจดีว่าไม่มีมัน เราก็ลำบาก แต่ถ้าพูดถึงความจำเป็น มีแค่ดินสอ ปากกา สีอีกนิดๆ หน่อยๆ และกระดาษหรือสมุดสักเล่ม ก็เรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่คนส่วนมากให้ความเชื่อถือ และนับถือคนที่สร้างภาพ ดูมีฐานะ บางอย่างก็ต้องมีตามกระแสไป เพราะสังคมพยายามสร้างวัตถุนิยมให้กับคนทุกวัย ไม่เว้นกระทั่งเด็ก และความเป็นเด็กที่พ่อแม่มักจะตามใจ เพราะไม่อยากให้ลูกตัวเองลำบากหรือด้อยไปกว่าใคร แม้ว่าพ่อแม่จะไม่มีจะกินก็ตาม... 

เอาจากในเนื้อข่าวก่อน... 
"หลักการของ บิล เกตส์ ในการยกระดับการศึกษา คือ : 
1. หาคนที่เป็นครูได้ดี ฝึกปรือเขาและเธอให้เก่ง และตอบแทนครูที่ทำหน้าที่ได้ดี เพราะว่านั่นแหละคือหัวใจของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับการสร้างชาติ" 
- เห็นด้วยนะกับการสนับสนุนคนที่ทำหน้าที่ได้ดีอยู่แล้ว ให้พัฒนายิ่งขึ้น แต่ต้องไม่ลืมพัฒนาเรื่องของจิตใจด้วย หมายถึงว่า บางคนต้องการได้รับพัฒนาแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร พอได้ความรู้ ปีกกล้าขาแข็งก็จากไปหรือเลือกที่จะทำประโยชน์ให้ตัวเองมากกว่า ทั้งๆ ที่ส่วนรวมคอยสนับสนุนให้ 

2. "งบประมาณปีละ 15,000 ล้านดอลลาร์ ที่ใช้ปรับเงินเดือนให้ครูที่สอบยกระดับปริญญาของตัวเองขึ้นไป ซึ่งแกบอกว่าวัดแล้ว ไม่มีผลอะไรต่อการทำหน้าที่ของการเป็นครูแต่อย่างไร" 
- อายุงานก็ควรได้ไปตามนั้น (โดยเฉพาะในระบบราชการ ถ้ายังอยากให้มีหน่วยงานด้านการศึกษาที่เป็นของรัฐหลงเหลืออยู่บ้าง) ขอออกตัวก่อนว่าไม่ทราบฐานเงินเดือนครูของมหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาเอกชนจริงๆ แต่คาดว่าคงเยอะกว่าสถาบันของรัฐเยอะ และน่าจะขึ้นกับผลงานของผู้สอนด้วย (ซึ่งนั่นก็ถูกแล้ว ถ้าไม่ต้องมีงานรองบาทาใครให้ทำ)

แอบชอบความเห็นของ ssss15 ที่ว่า 

"ความจริงน่าเห็นใจคุณครูทั้งหมด ครูก็มีครอบครัว มีลูกมีหลานเหมือนคนทั่วไป แต่เงินเดือนครูน้อยนิด บ้างจึงต้องไปสอนตาม รร.กวดวิชา เพื่อมีรายได้เพิ่ม ซึ่งก็ไม่ผิดแต่เนื้อหาวิชาใน รร.ต้องเต็มที่ ไม่ขยักความรู้เอาไว้เพื่อให้เด็กไปเรียนเสริมกับตน" 

- บอกตรงๆว่าตอนเป็นนักเรียนก็เคยคิดนะ ว่าทำไมครูไม่สอนเหมือนกวดวิชาเค้าสอน เอะอะก็ไปประชุม (มารู้ซึ้งถึงความอยากเรียนตอนมัธยมปลาย เพราะถ้าครูไม่อัดเนื้อหาจะสู้โรงเรียนอื่นไม่ได้ ไม่อยากเรียนก็ต้องเรียนล่ะนะเวลานั้น) เราไม่อยากเอาเวลาวันหยุดไปเรียนพิเศษ เพราะจะได้เอาเวลาเดินทาง นั่งเรียนมาทำการบ้าน และทบทวนเองจะดีกว่ามั้ย แต่พอมาเป็นคนสอนเอง การที่ครูต้องไปประชุมเป็นกิจวัตร เป็นเรื่องจริง และต้องทำไม่น้อยไปกว่าการสอนด้วย โดยเฉพาะครูที่ต้องการความก้าวหน้าที่ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้น มากกว่ามาพัฒนาการสอนเพื่อเพิ่มคุณภาพของผู้เรียน (เราเองก็เป็นแบบนี้บางส่วนด้วยละนะ แต่... ฟังเสียงกูหน่อยยย) 

3. "บิล เกตส์ เชื่อว่าครูที่ยอมรับนักเรียนเพิ่มในห้องของตนควรจะได้รับค่าตอบแทนสูงขึ้น เพื่อว่านักเรียนจะได้ประโยชน์จากครูเก่งๆ มากขึ้นกว่าเดิม" 
- อันนี้ บอกตรงๆว่าไม่เห็นด้วยมากนัก เพราะเราเองก็อยู่ในฐานผู้สอนคนนึงในสายงานที่เน้นการปฏิบัติ ถ้าจำนวนผู้เรียนเยอะ การเรียนจะต้องเป็นไปแบบ "แพทเทิร์นเดียวกัน" เพื่อให้ตรวจงาน ให้คะแนนง่ายๆ แล้วเด็กจะได้อะไร?? เพราะงานที่ต้องเน้นทักษะปฏิบัติ เด็กแต่ละคนทำได้ไม่เท่ากันหรือคนที่เก่งอยู่แล้วจะพัฒนาต่อได้ยังไง รับเยอะจะสร้างคุณภาพได้มากกว่าจริงๆเหรอ??? อีกประเด็นคือเรื่องของการมีจำนวนผู้เรียนเยอะ ถ้าเป็นวิชากลุ่มที่เป็นแต่หลักการคงไม่เถียงการรับผู้เรียนเยอะๆนะ แต่ถ้าเป็นงานปฏิบัติอย่างที่บอกว่าถ้าคนเยอะ การพัฒนาของแต่ละคนจะลดลง ถ้ารับเยอะแล้วแบ่งเป็นห้องย่อย ให้คนสอนเป็นคนเดียวกัน จำนวนรอบที่สอนจะเยอะขึ้น ซึ่งในกรณีที่คนสอนไม่ต้องทำงานรองอะไรเลย หรือไม่มีหน้าที่มากไปกว่าการสอน และวิจัย (ถ้ามันไม่มีประโยชน์มากนัก จะทำไปทำไมไม่รู้) ก็สนับสนุนให้มีคนเรียนด้วยเยอะๆ นะ 

เห็นด้วยกับความเห็น... ลานทอง สะท้าน 
"นักการเมือง เขา ไม่ต้องการให้คนไทยฉลาดหรอก ต้องโง่มากๆเข้าไว้ จะได้ จูงจมูก ชี้นำง่ายงัยหละ คนฉลาด เวลาเสพข้อมูล ต้อง ไตร่ตรองก่อนถึงจะเชื่อ แต่คนโง่เชื่อสิ่งที่.....เขาเล่ามา....อย่างหัวปักหัวปำ...ไม่ฉลาดคิดถึงความเป็นไปได้ว่าจริงหรือเท็จ แยกแยะไม่ออก แล้วก็เอาเรื่อง...เขาเล่ามา... มาเล่าต่อๆๆๆๆ...โดยหารู้ไม่ว่า ความจริง เป็นอย่างไร..............." ".........ไม่ส่งเสริมให้คนมีความรู้ กลับจ้องเอาเปรียบ คนไม่มีความรู้ พวกนี้เลย ช่วยตัวเองไม่ได้ หวังพึ่งพา อย่างเดียว สุดท้าย ทำอะไรไม่เป็น ...แล้ว ชาติจะก้าวหน้าได้อย่างไร.....เฮ้อ ....เหนื่อย" 

ความเห็นที่ดูจะขัดแย้งที่สุดก็มีขึ้นมา... 

"ยุคสมัยนี้ ความรู้หาได้จาก internet ครับ... ดังนั้น การแจก tablet ก็เพื่อให้เด็กๆ ได้รับ ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ การสื่อสารกับผู้รู้ได้ ถ้าเข้าใจในเรื่องนี้ก็อย่าได้แปลกใจ .... นี่คือ ก้าวแรกของการปฏิรูปการศึกษาแน่นอนครับ" - ประวิทย์ เรืองศิริกูลชัย 

ก็เห็นด้วยนะ แต่พออ่านความเห็นจากคนอื่นๆ ที่คิดในอีกมุมนึง... 

"แล้วบางแห่ง internet เข้าถึงแล้วเหรอคะ? 
แล้วเรามีบุคลากรสอนการใช้คอมฯใช้อินเตอร์เน็ตพอแล้วเหรอคะ? 
แค่คนสอนวิชาทั่วไปยังมีไม่พอ... แล้วความรู้ใน internet มันถูกต้อง 100% แล้วเหรอคะ" - Amo Oma 

"ข้อสังเกต 
1.ถ้าแจกแล้วได้ผลจริงนะ ความแตกต่างระหว่างเด็กบ้านนอกและเด้กในเมืองคงเพิ่มขึ้น ช่องว่างทางชนชั้นคงเพิ่มขึ้น นึกถึงเด็กบนดอย ไฟฟ้ายังไม่มีเลย นับประสาอะไรกับโครงสร้างพื้นฐาน สัญญาณไวไฟที่จะใช้ในการอัพโหลด ดาวน์โหลดข้อมูล 
2.มีเนื้อหาสาระหรือยังที่จะสั่งลงไปในแท็บเลต หรือไว้เป็นแค่ของเล่นคนรวย 
3.อย่าไปคิดไรมาก ก้อเหมือนยุคนึงที่เราตื่นเต้นกับพีซีรุ่น 286 หรือ 486 เราอาจจะได้คนเก่งเพิ่มขึ้นหรือคนที่มีอาชีพเขียนแอพเพิ่มขึ้นก้อได้ 
4.จะโทษเด็กไปเล่นเกมส์ได้ยังไงในเมื่อพ่อแม่เด็กไม่รู้จักสั่งสอนหรือดูแลลูกเต้า" - Wichan Pisut

แต่อีกความเห็นนึงที่เห็นด้วยมากมายคือความเห็นนี้... 

"ครูบางส่วนที่ทุ่มเทพัฒนาตนเองสอนเด็ก แต่ไม่มีเวลาทำผลงานทางวิชาการ หรือดูแลผู้บริหาร ก็อาจไม่ก้าวหน้า" - Sarayuth Kunlong

- ขอต่อนะ คือ ความก้าวหน้าหมายถึงเงินทางที่จะเอามาปลดหนี้ได้ ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่ค่าครองชีพเอาแต่สูงขึ้นๆได้ ถ้าครูที่ทุมเทกับการสอนเด็ก แต่ต้องอดๆอยากๆ ถามว่ามีใครจะมาช่วยดูแลมั้ยนอกจากครอบครัวของคนที่เป็นครู 


เรื่องเงินเดือนของอาชีพครู/อาจารย์ ถ้ามองแบบเห็นแก่ตัวหน่อย ก็จะบอกว่า
1. เราก็ต้องการเงิน เพราะค่าใช่จ่ายสูงขึ้นทุกทาง และขึ้นเร็วกว่าเงินเดือน ถ้าให้มาห่วงคุณภาพผู้เรียนมากกว่าตัวเอง แล้วใครจะมาช่วยลดค่าใช้จ่ายเราได้บ้าง 
1.5 ค่าใช้จ่ายในการสร้างความน่าเชื่อถือ ต้องเอาสัจธรรมที่ว่าพออยู่พอกินออกไปบ้าง เพราะโลกนี้มีแต่คนที่อยากคุยกับคนที่ดูดี ถึงจะสร้างภาพขึ้นมาก็เถอะนะ ถามว่าใครจะอยากคุยกับอาจารย์ที่ไม่ดูแลตัวเองใช่มั้ยล่ะ ถ้าเงินเดือนน้อยๆ ค่าใช้จ่ายในการดูแลตัวเองจะไปเอาจากไหน??? 
2. ชะตาชีวิตกำหนดมา ส่วนหนึ่งที่ทำให้เลือกทำในสิ่งที่รักและชอบไม่ได้... งานอื่นที่ได้เงินเยอะกว่า ซึ่งแน่นอนว่าเราจะได้ใช้อะไรที่เรียนมาเต็มๆ มากกว่า และรู้ผลเลยว่าไอ้พวกหลักการน่ะ มันใช้ได้จริงแค่ไหน เรากลับไม่ได้งานอื่นทำ ซึ่งจะเรียกเงินเดือนต่ำหรือสูงก็ใช้งานคุ้มเท่ากันอยู่ดี แล้วถ้าเข้าไปแล้วจะขอต่อรองเงินเดือนลำบาก พอต่อรองก่อนเข้าก็ไม่จ้าง จะให้ทำอะไรกินล่ะคะ ในเมื่อผ่านเข้ามาบรรจุมาเป็นอาจารย์จำเป็นไปแล้ว ในฐานะผู้สอนที่ต้องการเงินมากกว่าคุณภาพ พร้อมจะเปิดทางให้กับคนที่สอนได้ดีกว่าและทำคนให้เป็นคนได้มากกว่า เพราะเราไม่ต้องการซ้ำรอยครูแย่ๆ ที่เราเคยเจอมาตั้งแต่อนุบาล เตือนตัวเองทุกครั้งว่า "เราไม่ใช้ผู้สอนที่ดี เพราะเรายังทำคนให้เป็นคนไม่ได้ดีพอ" และ "ถ้าเรายังสร้างคนให้มีจิตสำนึกดีๆ ในเรื่องต่างๆ ไม่ได้ เราก็ยังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น อาจารย์ ได้เต็มปาก แม้ว่านักศึกษาจะเรียกเราแบบนั้นก็ตาม" ถ้าจะให้สละที่นั่งให้ก็ควรจะมีอะไรเป็นหลักฐานให้แน่ใจด้วยว่างานใหม่ที่เราจะไปทำดีกว่างานปัจจุบันมากพอ... (หมายถึงพวก หน้าที่การงาน ตำแหน่ง สวัสดิการเพิ่มเติมจากมาตรฐาน โอการในการพัฒนาตัวเอง และการได้ใช้ศักยภาพเต็มที่ และเงินเดือนที่ได้รับ) 

--> ถ้าจะแก้ปัญหา ไม่ได้แก้แค่การศึกษานะ ต้องแก้ที่ "วัตถุนิยม" ก่อนต่างหาก... 
เพราะอะไรที่ทำให้เราต้องการเงิน??? 
ไม่ใช่ "สิ่งของ" "ความอยาก" "ความต้องการ"เหรอ?? 
"วัตถุนิยม" ไม่ได้มาจากการสร้างความอยาก... อยากมี อยากเป็น อยากได้เหรอ??? 
แล้ว "วัตถุ" มีอะไรมาแลกได้บ้างนอกจาก "เงิน" หรือทุกอย่างที่เป็น "มูลค่า" จากเงิน??? 
ถ้างั้น.. เพราะอะไรที่ทำให้เราต้องการเงิน??? 
ไฟฟ้า ประปา ไม่ใช่ "เงิน" เหรอ ที่ต้องเอาไปแลกมา??? 
ไม่ใช่เพราะ "เงิน" เหรอ ที่ทำให้เกือบทุกคนยอมเอา "ศักดิ์ศรี" ไปแลก??? 

เพราะ "ความต้องการ" ที่เดี๋ยวนี้ ต้องใช้ "เงิน" มาแทนที่การแลกของกัน การใครต้องการอะไร เรามีอย่างนึงที่ไม่ได้ใช้ เค้าก็มีอีกอย่างที่ไม่จำเป็นสำหรับเค้าก็เอามาแลกกัน บางทีมันมีค่ามากกว่าเงินด้วยซ้ำ แต่ทำไมคิดแต่ว่าแลกแล้วไม่คุ้มๆ คงไม่ทันคิดว่าวันนึง "เงิน" มันก็เป็นแค่เหล็กกับกระดาษ สินะ... 

พยายามแบ่งเป็นหัวข้อแต่ก็แยกกันได้ไม่ขาดนัก ถ้าให้เขียนตำราจริงๆ ก็คงสรุปเนื้อหาทั้งวิชาลงได้ภายในไม่กี่หน้ากระดาษ!!!

Sunday, February 05, 2012

แง่มุมชีวิต ดีดีที่อยากให้อ่าน

เอามาจาก Forward Mail ที่ จขบ. ได้รับมาเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2555

“ถมไม่เต็ม”
We never get what we want,We never want what we get,
We never have what we like,We never like what we have.
And still we live & love. That's life...
เรามักไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ
สิ่งที่เราไม่ต้องการเรากลับมักจะได้มา
เรามักจะไม่มีในสิ่งที่เราชื่นชอบแต่อะไรที่เราไม่ชอบเรากลับมักจะมี
ถึงอย่างไร...เราก็ยังมีชีวิตอยู่และต้องรู้จักอยู่ในโลกด้วยความรักต่อไป   นี่คือ...ความจริงในชีวิต







“พลัดพรากและได้มา”
It's true that we don't know
What we've got until it's gone,
But it's also true that we don't know
What we've been missing until it arrives..
จริงอยู่ว่า..เรามักจะไม่รู้คุณค่าในสิ่งที่เรามี
จนกระทั่งสูญเสียไปแล้ว ถึงจะรู้สึก
แต่ก็จริงอีกเหมือนกันว่า..เรามักจะไม่รู้คุณค่าของสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิต
จนเมื่อได้พบพานเข้าจริงๆแล้ว  ถึงได้รู้สึกถึงความสูงค่านั้น


“คิดจะปลูกต้นรักสักกอ...”
Giving someone all your love is never an assurance that they'll love you back!
Don't expect love in return;
Just wait for it to grow in their heart,
But if it doesn't, be content it grew in yours.
ความรักที่มอบให้ใครสุดหัวใจนั้น ไม่ใช่หลักประกันเลยว่าเขาจะรักเราตอบแทน
ถ้าจะรักใครก็จงอย่าคาดหวังว่าเขาจะรักตอบ
คุณต้องเฝ้ารอให้มันงอกงามหยั่งรากลงในหัวใจของเขาเอง
ซึ่งแม้นว่าจะไม่เกิดขึ้น ก็จงชื่นใจที่ต้นรักได้มางอกงามในหัวใจของเราแล้ว

        
“คนบางคน”
It takes only a minute to get a crush on someone,
An hour to like someone, And a day to love someone,
But it takes a lifetime to forget someone.
คนบางคน เราอาจใช้เวลาเพียงนาทีเดียวเราก็ตัดสินใจบดขยี้เขาได้
คนบางคนเจอแค่ชั่วโมงเดียวก็ชอบได้แล้ว
ยิ่งบางคนใช้เวลาเพียงวันเดียวก็รักได้เลย
แต่มีบางคนจริงๆเท่านั้นที่ใช้เวลาทั้งชีวิต..ก็ยังลืมเขาไปไม่ได้     
          

“หาคู่..”
Don't go for looks; they can deceive.
Don't go for wealth; even that fades away.
Go for someone who makes you smile, Because it takes only a smile
to make a dark day seems bright.
Find the one that makes your heart smile!
อย่าเที่ยวหาคนรูปงาม..เพราะมีอะไรที่ยังมองไม่เห็นอีกมาก
อย่าปลงใจกับใครเพราะความร่ำรวย..เนื่องจากเป็นสิ่งไม่จีรัง
จงหยุดยั้งกับใครบางคนที่ทำให้คุณแย้มยิ้มได้
เพราะมีแต่รอยยิ้มเท่านั้นที่จะทำให้วันคืนอันมืดมิดในชีวิตสว่างไสวขึ้นมา
หวังว่าคุณคงโชคดีพอจะพบคนคนหนึ่งที่ทำให้หัวใจของคุณยิ้มได้


“คำพรแห่งชีวิต”

May you have
Enough happiness to make you sweet,
Enough trials to make you strong,
Enough sorrow to keep you human,
And enough hope to make you happy.
ขอน้อมอวยพรให้คุณ
จงประสบความสุขมาอย่างเพียงพอจนเป็นคนที่อ่อนหวานมีชีวิตชีวา
จงผ่านพบเส้นทางวิบากในชีวิตจนพอที่จะทำให้เป็นคนเข้มแข็ง
จงลิ้มชิมความเศร้าโศกมาพอที่จะทำให้เป็นผู้เป็นคนธรรมดา
จงมีความหวังอยู่อย่างเพียงพอที่จะทำให้เป็นสุขได้ทุกทิวาวาร

            
“ใจเรา รองเท้าเขา..”
Always put yourself in others' shoes.
If you feel that it hurts you,
It probably hurts the other person, too.
จงรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา..เหมือนรู้จักลองหยิบรองเท้าเขามาใส่ดูบ้าง
ถ้ามันคับมันเจ็บมันปวด เขาก็ต้องเจ็บต้องปวดเหมือนกันใช่ไหม?


“ความเป็นสุขที่สุดอยู่ที่ไหน?”
The happiest of people
Don't necessarily have the best of everything;They just make the most of everything that comes along their way. Happiness lies for Those who cry,
Those who hurt,Those who have searched, And those who have tried,
For only they can appreciate the importance of people
Who have touched their lives.
อย่ามัวไปขวนขวายหาสิ่งที่ดีที่สุด.. ชีวิตเราจะต้องพบพานกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เลือกไม่ได้และไม่ได้เลือก    “ความสุข” จะรอให้พานพบประสบได้
ก็แต่เฉพาะคนที่รู้จักร้องไห้ รู้จักเจ็บปวด รู้จักแสวงหา และรู้จักลงมือลงแรง   เพราะมีแต่คนเหล่านี้เท่านั้นที่จะตระหนักได้ถึงคุณค่าของสิ่งที่ได้มา
และความสำคัญของคนอื่นที่ได้ช่วยเกื้อหนุน


“เกิด..ร้องไห้ - ตาย..ยิ้ม”
When you were born, you were crying
And everyone around you was smiling.
Live your life so that when you die,
You're the one who is smiling
And everyone around you is crying.
เมื่อคุณเกิดออกมาดูโลก  คุณร้องไห้
แต่คนรอบข้างกลับมีแต่รอยยิ้ม
จงครองชีวิตนี้ของคุณให้ดี  เพื่อที่เมื่อคุณตาย
คุณจะเป็นคนเดียวที่ยิ้ม ขณะที่คนรอบข้างพากันร่ำไห้